ว่ากันว่า สงครามโลกครั้งต่อไป อาจจะไม่ได้ประหัตประหารกันด้วยอาวุธ หรือไม่ใช่สงครามทางเศรษฐกิจอย่างที่เคยพูดกันมาในอดีต แต่อาจจะเป็นสงครามในรูปแบบไร้สาย หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘สงครามอินเตอร์เน็ต’
ต้องยอมรับว่าจุดนี้ ประเทศจีน กำลังล้ำหน้าประเทศแถบตะวันตกไปแล้ว ดูง่ายๆ จากการที่จีนสามารถสร้าง Cashless Society ได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว โดยล่าสุดยังมีข่าวว่า จีนได้เริ่มทดลองระบบ 5G อย่างเป็นทางการแล้วและได้ผลตอบรับที่ดีเสียด้วย ซึ่งความเร็วของอินเตอร์เน็ตจะกลายเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทรงประสิทธิภาพของจีน สำหรับการทำสงครามอินเตอร์เน็ตในอนาคต
เครดิตภาพ: https://www.cnbc.com
นอกจากนี้ ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อต่างประเทศรายงานว่า China Mobile Hong Kong (CMHK) ผู้ให้บริการเครือข่ายด้านโทรคมนาคมของฮ่องกง ยืนยันว่าตนเป็นบริษัทโอเปอร์เรเตอร์เจ้าแรกที่ทำการทดสอบระบบ 5G ประสบความสำเร็จได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ โดยผลการทดสอบเป็นไปอย่างลื่นไหล สามารถส่งสัญญาณไฮสปีด Wi-Fi ไปยังบ้านเรือนผู้ใช้บริการได้แล้ว และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสัญญาณ 5G ของ CMHK ยังพร้อมสำหรับการเปิดให้บริการแบบฟูลเซอร์วิสแก่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนในช่วงกลางปี 2019 อีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา China Mobile Hong Kong ประกาศเปิดตัว ‘China Mobile 5G Innovation Centre Hong Kong Open Lab’ หรือศูนย์แบบเปิดเพื่อทดลองนวัตกรรม 5G ซึ่งไชนาโมบาย ถือเป็นจุดเชื่อมโยงแห่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพัฒนาระบบอินเตอร์เน็ตทั้งงานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ แบบครบวงจร โดยมีรัฐบาลฮ่องกงให้การสนับสนุน พลังแห่งการร่วมมือของพวกเขาในครั้งนี้ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้เวลาอันสั้น
เครดิตภาพ: www.hk.chinamobile.com
และจากความสำเร็จครั้งนี้ของจีน ทำให้หลายสายตาจับจ้องไปที่สหรัฐฯ และยุโรป พร้อมเกิดคำถามว่าทำไมเป็นประเทศที่เจริญมากๆ แถมยังมีเทคโนโลยีและทุนทรัพย์มหาศาล กับดูคล้ายว่ากำลังตามหลังประเทศจีนอยู่? หรือแม้แต่หลายประเทศในเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เมื่อดูเส้นทางของยุโรป หรือ อียู (European Union) พบว่าถ้าตัดเรื่องราวความวุ่นวายเกี่ยวกับ Brexit ออกไป ทำให้ไม่เห็นวี่แววว่า เหล่าประเทศสมาชิก EU จะมีการลงทุนเพื่อพัฒนาเครือข่ายสมาร์ทโฟนแต่อย่างใด ด้วยสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ค่อนข้างอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที่ แถมยังถกเถียงกันไม่เลิกเกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นสัญญาณวิทยุ ซึ่งน่าจะเป็นสื่อที่เริ่มล้าหลังลงไปทุกที
อ้างอิงการวิเคราะห์ของ Ben Wood หัวหน้าฝ่ายวิจัยบริษัท CCS Insight บริษัทผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์และวิจัย จากประเทศอังกฤษ ที่กล่าวถึงการพัฒนา 5G ในสหรัฐฯ ว่า เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดเสรีจึงมีการแข่งขันกันสูงระหว่างผู้เล่นต่างๆ และล้วนแข่งขันกันในด้านการลงทุน 5G แต่สาเหตุที่จีนไปเร็วมาก เพราะชัดเจนเลยว่าเขาไม่ต้องไปแข่งกับใคร แต่มุ่งไปที่การร่วมกันพัฒนาและเห็นโอกาสจากการสร้างสรรค์ 5G อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ นอกจากบทบาทของรัฐบาลจีน ภาคเอกชนเองต่างมีส่วนสำคัญในการผลักดันและพัฒนาด้านเทคโนโลยี อย่างเช่น หัวเว่ยเทคโนโลยี (Huawei) บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายและอุปกรณ์โทรคมนาคมสัญชาติจีน ที่ปี 2018 นี้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับ 2 ของตลาดสมาร์ทโฟนโลก ด้วยยอดขาย 54.2 ล้านเครื่อง แซงหน้า iPhone ซึ่งตกลงไปอยู่อันดับ 3 หลังทำยอดขายทั่วโลกได้ 41.3 ล้านเครื่อง นอกจากหัวเว่ย ยังมีภาคเอกชนอีกหนึ่งรายที่มีผลงานโดดเด่นไม่แพ้กันนั้นคือ แซดทีอี คอร์ปอเรชัน (ZTE) บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่และระบบโทรคมนาคมสัญชาติจีน เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสองของจีน รองจากหัวเหว่ย และผู้รับจ้างผลิตเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ รายใหญ่อันดับสี่ของโลก ทำให้มั่นใจได้ว่าทั้งสองบริษัทนี้มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีมากมายที่พร้อมจะช่วยเสริมให้การพัฒนาสัญญาณ 5G ในจีนประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
เครดิตภาพ: https://www.pexels.com
หากดูจากขนาดที่ใหญ่โตของตลาดจีนแล้ว คาดว่าสัญญาณ 5G น่าจะเบ่งบานเต็มที่ได้ในปี 2020 และแน่นอนว่า ทั้ง หัวเว่ยและแซดทีอี น่าจะเตรียมพร้อมทุกสรรพกำลังเพื่อรองรับความก้าวหน้านี้ในอนาคตอันใกล้เอาไว้แล้ว เรียกได้ว่าตอนนี้จีนทั้งแผ่นดินใหญ่และเกาะฮ่องกง กำลังฮึกเหิมอย่างเต็มที่ในการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ อย่างที่กล่าวไว้ว่า เมื่อหันไปดูฝั่งตะวันตกกลับกลายเป็นว่ายังตกลงกันเองไม่ลงตัว โดยเฉพาะยุโรปที่ดูจะยังไม่เห็นสัญญาณการรุกคืบแต่อย่างใด
และแม้ว่าการปิดประเทศจะส่งผลให้โลกออนไลน์ของจีนเกิดข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะโซเชียลแพลตฟอร์ม (Social Platform) ที่ปัจจุบันมีเพียง 2 รายเท่านั้นที่ได้รับความนิยมจากชาวจีน คือ Weibo (เหว่ยป๋อ) สื่อสังคมออนไลน์ของจีน (ทำงานคล้ายทวิตเตอร์) และ WECHAT แอพพลิเคชั่นแชทสัญชาติจีนที่มีความสามารถและความสนุกที่ไม่เป็นรองแอพฯ ไหนๆ แต่ขณะที่ Facebook หรือ Twitter ยังคงถูกบล็อคโดยรัฐบาลจีน ซึ่งแม้ทั่วโลกต่างมองว่าข้อจำกัดดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อโลกออนไลน์ของจีน ทว่าในมุมมองของรัฐบาลจีนอาจคิดต่างออกไป เพราะความสำเร็จที่เห็นเป็นรูปธรรมช่วยตอกย้ำว่าในอนาคตอันใกล้จีนจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในฐานะผู้นำด้านอินเตอร์เน็ต
ขอบคุณข้อมูล: www.cnbc.com, www.hk.chinamobile.com, www.telegeography.com