อุตสาหกรรมการลงทุนไทยในปัจจุบันเริ่มพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ต้นน้ำจนกระทั่งปลายน้ำ เนื่องจากปัจจุบันมีบัญชีนักลงทุนซื้อขายผ่านระบบออนไลน์สม่ำเสมอกว่า 260,000 บัญชี จากจำนวนบัญชีทั้งหมดที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอทั้งหมด 374,000 บัญชี ซึ่งสะท้อนค่าเฉลี่ยการซื้อขายบนระบบออนไลน์มากกว่า 50% ของตลาด
จากอดีตวิธีการส่งคำสั่งซื้อขายต้องให้ผู้แนะนำการลงทุน หรือมาร์เก็ตติ้ง ประจำตัวเป็นผู้ส่งคำสั่งซื้อ หรือสามารถกดสั่งซื้อได้เองผ่านแอพลิเคชั่น ตามช่วงระยะเวลาที่สะดวก และพบปัญหาคือนักลงทุนไม่มีเวลามานั่งดูพอร์ตการลงทุนได้ตลอดเวลา และไม่มีความรู้ด้านสถิติการลงทุนอย่างครบถ้วน ทำให้เสียโอกาสในการลงทุน
ดังนั้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์ผู้ให้บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ (AI : Artificial Intelligence) ในหลายบริษัทอาจใช้คำเรียกว่า Robo advisor หรือแปลเป็นไทย คือ หุ่นยนต์แนะนำการลงทุน ซึ่งกลายเป็น Fintech อันดับหนึ่งที่น่าจับตามองของภาคอุตสาหกรรมการเงินทั่วโลก เพราะสามารถช่วยลดต้นทุนด้านบุคลากร และให้บริการได้รวดเร็วและเข้าถึงนักลงทุนในหลายรายในเวลาเดียวกัน
โดยเทคโนโลยีของ Robo Advisor คือ Big data analytic ลงโปรแกรมที่บันทึกทุกสถิติสำคัญด้านการลงทุนในอดีต และคาดการณ์ในอนาคต บันทึกเทคนิคการซื้อขาย คำแนะนำของนักวิเคราะห์ชั้นนำ ใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคามาจับจังหวะการซื้อขาย ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนการให้คำปรึกษาด้านการออมและการลงทุนแบบตัวต่อตัว (face to face advisory)
นักลงทุนเพียงแค่ระบุเทคนิคการลงทุนที่ต้องการ และหลังจากนั้น AI จะทำหน้าที่จัดการซื้อขาย บริหาร Asset Allocation ที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนแต่ละคน พร้อมทั้งลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้แบบอัตโนมัติ และอาจมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยที่นักลงทุนไม่ต้องคอยจับจ้องมองหน้าจอตลอดเวลา
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เล่าให้ฟังว่า การมีเทคโนโลยีที่ดีจะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูล ช่วยในการเรียนรู้ ทำให้เกิดการลงทุนง่ายขึ้น ส่งผลให้ตลาดทุนไทยจะมีโอกาสเติบโตมาก และเชื่อมั่นว่าปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถแย่งงานนักวิเคราะห์ หรือผู้แนะนำการลงทุนได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะความเป็นมนุษย์สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นบุคคลแบบ Face to Face รวมถึงใช้ความคิดความรู้สึกคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าได้มีประสิทธิภาพมากกว่า
เทคโนโลยี AI กับอุตสาหรรมการลงทุนช่วยทำให้คนทั่วไปการเข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับนักลงทุน สามารถซื้อขายตามไลฟ์สไตล์ที่ตนเองถนัด ประมวลผลข้อมูลยากๆให้ออกมาง่ายตามใจสั่ง ยกระดับความทันสมัยของตลาดทุนไทย และเชื่อว่าหลังจากนี้หลายโบรกเกอร์จะเข็นเทคโนโลยีออกมาแข่งขันในตลาดดึงลูกค้ากันอย่างต่อเนื่อง
ขอขอบคุณข้อมูล: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) และ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)